โรคไข้หวัดแมว โรคที่คุณควรต้องระวัง |
||
โดย : Jina |
![]() โรคไข้หวัดแมว โรคที่คุณควรต้องระวังโรคไข้หวัดแมว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ โรคหวัดแมว เป็นโรคที่สัตว์เลี้ยงของคุณเป็นกันได้ในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง |
ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งเป็นไวรัสจําเพาะในแมวได้แก่ Feline Viral Rhinotracheitis Virus (FVRC) หรือ Feline Herpesvirus (FHV) และ Feline Calici Virus (FCV) นอกจากนี้ยังอาจมีการติดเชื้ออื่นๆ ร่วมด้วยเช่น Bordetella หรือ Clamydia ซึ่งจะทําให้แมวแสดงอาการรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในลูกแมวและแมวที่อ่อนแอ โดยทั่วไปมีไวรัส 2 ชนิด เมื่อแมวได้รับเชื้อและจะมีการอาการหวัด โดยการแยกอาการของการติดเชื้อไวรัสสองตัวนี้อย่างคร่าวๆ คือ การสังเกตได้จากอาการซึ่งไวรัส FCV จะไม่ค่อยมีอาการที่ตาและจมูกแต่อย่างไรก็ตามแมวสามารถมีการติดเชื้อร่วมกันของไวรัสทั้ง 2ชนิดนี้ได้ ซึ่งจะยิ่งทําให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้นไปอีก Feline Viral Rhinotracheitis (FVRV)หรือ Feline Herpesvirus (FHV) โรคนี้จะพบได้บ่อย ในกลุ่มแมวที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนอัตราการติดโรคอาจสูงถึง 100 % แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วอัตราการตายจะไม่สูงมากแต่ว่ามีโอกาสที่จะส ูงถึง 30 %ได้ในลูกแมวที่เครียดหรือมีโรคอื่นแทรกซ้อน อาการที่พบ หลังจากแมวได้รับเชื้อ FVRV เชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 2 ถึง 10 วัน โดยจะทําให้แมวมีอาการอักเสบที่ตาจมูกหลอดลมซึ่งทําให้แมวมีน้ำ ตาไหลมีน้ำมูกและเสมหะนอกจากนี้ยังทําให้แมวมีอาการซึมหายใจลําบากเป็นไข้ไอจามและเบื่ออาหาร ในกรณีที่มีเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยนั้นจะทําให้น้ำมูกข้นเหนียว จนเป็นหนองอาจพบแผลหลุมเป็นวงๆ บนลิ้นทําให้แมวเจ็บมากจนไม่อยากกินอาหาร อาการอาจรุนแรงมากถึงขั้นเกิดปอดบวมและเยื่อหุ้มปอดอักเสบและทํ าให้เสียชีวิตได้ Feline Calici Virus (FCV) ไวรัสชนิดนี้ทําให้เกิดอาการน้ำมูกไหล ไอจามแต่อาจแสดงอาการรุนแรงมากกว่านั้นได้ สําหรับอาการที่เด่นชัดที่สุดคือแผลหลุมบนลิ้นจะทําให้มีน้ำลายไหลยืดตลอดเวลาแผลในช่องปากจะทําให้แมวกินอาหารลําบากความอยากอ าหารลดลงทําให้อาการทรุดลงเร็ว การติดต่อของโรค การติดต่อของแมวเกิดจากแมวได้รับการสูดดมเชื้อไวรัสที่กระจายในอากาศจากแมวที่ติดเชื้อหรือมีการสัมผัสกับแมวที่ติดเชื้อโดยตรง ซึ่งพบได้บ่อยในบริเวณที่มีแมวอยู่รวมกันมากในกรณีที่แมวป่วยและหายจากโรคแล้วนั้นสามารถเป็นพาหะนําโรคได้ต่อไป การดูแลและป้องกัน สิ่งแรกที่ต้องทําคือพาแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยเบื้องต้นก่อนว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ การรักษาทําได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันโรคแทรกซ้อนจากแบคทีเรีย รวมทั้งยาลดเสมหะ นอกจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแมวอาจจําเป็นต้องได้รับน้ำเกลือวิตามินต่างๆ เพื่อบํารุงตามความเหมาะสม การให้อาหารควรให้แมวได้กินอาหารอย่างเพียงพอเพราะหากมีแผลในปากจะทําให้ไม่อยากกินอาหารเองจึงอาจต้องมีการป้อนอาหารและยาให้ นอกจากนี้ต้องดูแลเรื่องความสะอาดด้วย เช่น เช็ดขี้มูกขี้ตาอย่าให้เกรอะกรังทําความสะอาดปากทุกครั้งหลังป้อนอาหารและควรให้ความอบอุ่นต่อร่างกาย สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือการนําแมวที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคไปปะปนกับแมวภายนอก หากต้องนําแมวไปฝากเลี้ยงหรือต้องนําแมวไปในที่มีแมวรวมตัวกันมากๆ ต้องมั่นใจว่าแมวของเรามีภูมิคุ้มกันดีพอ ซึ่งทําได้โดยการนําแมวมารับวัคซีนป้องกันโรค |
|
|
|
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
|
|
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
|
|
|
|
|||||
|
|||||
|